สุนัขตามสัญชาตญาณคือนักล่า ผู้ที่อยากจะเลี้ยงต้องเข้าใจและเรียนรู้ธรรมชาติของสุนัขแต่ละสายพันธุ์ให้ดี เพื่อป้องกันตัวเองและคนใกล้ชิด ให้ระวังตัวในบางเวลาที่สุนัขอาจอารมณ์ไม่ดี เพราะนั่นอาจจะทำเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ และเราก็จะสามารถเตรียมตัวรับมือได้อย่างทันท่วงที
สุนัขส่วนใหญ่เป็นสัตว์เลี้ยงที่แสนจะน่ารักและแสนดีต่อคนเรา เพราะทั้งความฉลาด รู้จักเข้าสังคมและมีความร่าเริงสดใส เมื่อเราเล่นด้วย แต่ไม่ได้การันตีว่าสุนัขทุกตัวจะเป็นในแบบที่คิด ยังมีบางสายพันธุ์ที่ดุร้ายและมีราคาสูง ตลอดช่วงเวลาหลายยุคหลายสมัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่รู้ใจคนเรา และคอยปกป้องคนในครอบครัวของเจ้าของ แต่ถึงอย่างนั้นบางอารมณ์ของสุนัขก็เป็นอันตรายได้เหมือนกันดังข่าวที่ปรากฏให้เห็นอยู่เป็นประจำ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเพราะนิสัยที่แสดงออกนั้นอยู่ที่การเลี้ยงดู อบรม ฝึกฝนของเจ้าของ สร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างคนกับสัตว์ การให้ความรักความเอาใจใส่จะทำให้ดุร้ายนั้นลดลงได้ วันนี้ได้จัดอันดับสุนัขสายพันธุ์โหด หากอยากเลี้ยงต้องใจถึงมาให้ติดตามกัน
อันดับ สุนัขสายพันธุ์โหด
1. อเมริกันพิทบูลเทอร์เรีย (American Pit Bull Terrier)
ด้วยความที่พิทบูลมีนิสัยก้าวร้าวตามธรรมชาติ เพราะถูกพัฒนาให้มีความดุดันและใช้ความรุนแรงในการต้อนฝูงสัตว์ และการกีฬาในอดีต จนได้รับฉายาว่า สุนัขนักสู้ ร่างกายที่กำยำ มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 17-20 นิ้ว น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 25-32 กิโลกรัม กล้ามเนื้อคอและศีรษะมีความแข็งแกร่งดวงตาเล็ก ขนสั้นเรียบมันเงา มีขากรรไกรกว้างและแข็งแรง ด้วยคุณลักษณะนี้ทำให้สามารถจัดการกับสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ มีความว่องไวสูง กัดแล้วไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ แม้ว่าตัวของมันเองจะได้รับบาดเจ็บ หากผู้ที่ต้องการจะเลี้ยงต้องดูแลและฝึกฝนบ่อย ๆ เพราะเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีความน่ารัก รักเจ้าของ ซื่อสัตย์ สุนัขสายพันธุ์โหดตัวนี้จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ตัวละประมาณ 6,000-8,500 บาท
2. ร็อตไวเลอร์ (Rottweiler)
สุนัขสายพันธุ์เก่าแก่ถูกเลี้ยงเพื่อใช้ในการขนส่งสินค้า เพื่อป้องกันระวังภัยกองคาราวาน พบมากในประเทศแถบยุโรป นอกจากนี้ยังเลี้ยงเพื่อการต้อนสัตว์ ล่าสัตว์ เช่น กระต่าย นกยุง เป็นต้น นับได้ว่าเป็นสุนัขที่มีพละกำลังมีสัญชาตญาณนักล่าสูง ดุร้ายไม่ค่อยรู้เรื่อง โกรธและขี้หงุดหงิดง่าย ฉลาด ดื้อเงียบ แต่กระตือรือร้น โดยเฉพาะบางตัวที่มีความมั่นใจและมีภาวะของผู้นำ จะหวงอาณาเขตมาก ขนาดความสูงเฉลี่ยประมาณ 24-26 นิ้ว น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 50-55 กิโลกรัม ลำตัวปานกลาง ล่ำ ศีรษะมีขนาดใหญ่ หูแนบห้อยลง จมูกสี่เหลี่ยมแข็งแรง ขนหนาและหยาบ สายพันธุ์นี้ต้องฝึกและดูแลอย่างดีตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข เพราะมีโอกาสที่จะก้าวร้าวได้ หากดูแลเป็นอย่างดีก็จะเข้าสังคมได้ทั้งกับคนและสัตว์อื่น ๆ ส่วนราคาของร็อตไวเลอร์จะอยู่ที่ตัวละประมาณ 5,000-8,500 บาท
3. เยอรมัน เซฟเพิร์ด (German Shepherd)
หรือเรียกว่า อัลเซเซียน (Alsatian) มีต้นกำเนินในประเทศเยอรมนี มีความโดดเด่นในเรื่องความกล้าหาญ เฉลียวฉลาด มีความมั่นใจ กระตือรือร้น และสัญชาตญาณการระวังภัยสูง มีความจงรักภักดี และเชื่อฟังคำสั่งผู้เลี้ยงเป็นอย่างมาก ให้ทำถูกนำไปเป็นสุนัขตำรวจ ทหาร สายพันธุ์นี้ค่อนข้างดุดันและขึงขัง จู่โจมรุนแรง กัดไม่ปล่อย จึงถูกฝึกให้เป็นสุนัขอารักขา มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 22-25 นิ้ว น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 40-42 กิโลกรัม อายุเฉลี่ย 10-12 ปี ลำตัวมีขนาดที่ใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นหลังลาด หางเป็นพุ่มโค้งงอลง หูขนาดใหญ่ตั้งชูขึ้น มีขนที่หนาหยาบ หากใครที่คิดจะเลี้ยงต้องฝึกออกคำสั่งแบบทหาร หรือตำรวจ ในส่วนของราคาอยู่ที่ประมาณ ตัวละประมาณ 5,000-8,000 บาท
4. บางแก้ว (Thai Bang Kaew)
สุนัขสายพันธุ์ไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุและฉลาดเฉลียว สุนัขขนาดกลางที่มีความสูงเฉลี่ยเพศหญิงและเพศชายเพียง 43-53 เซนติเมตร โครงสร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กะโหลกศีรษะใหญ่ มีขนยาวสองชั้น ส่วนหางเป็นพวงสวยงาม บางแก้วเป็นสายพันธุ์ผสมระหว่าง สุนัขไทย จิ้งจอก และสุนัขป่า จึงมีเอกลักษณ์กล้าหาญ รักถิ่นฐาน ปกป้องคุ้มครองสิ่งอันเป็นที่รัก นอกจากนี้มีสายเลือดนักล่าเต็มตัวหากใครเผลอก้าวเข้าในถิ่นของมันก็จะเกิดอันตรายขึ้นได้ จึงจัดให้เป็นสุนัขเฝ้าบ้านบ่อยครั้งเราจะเห็นตามข่าวว่าเจ้าของโดนกัดเสียเอง นอกจากนี้ยังชอบชิงความเป็นจ่าฝูง สิ่งไหนไม่ชอบจะขู่และก้าวร้าว สุนัขสายพันธุ์โหดของไทยนี้มีราคาที่ตัวละประมาณ 6,500-8,500 บาท
5. โดเบอร์แมน พินสเชอร์ (Doberman Pinschers)
ในอดีตประเทศแถบยุโรปเลี้ยงโดเบอร์แมนสำหรับล่าเนื้อ เฝ้าเวรยาม และการอารักขา เนื่องจากความก้าวร้าว ดุดัน และมีกำลังมาก คล่องแคล่วว่องไว รักพี่น้อง ความสูงเฉลี่ยประมาณ 25-28 นิ้ว น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 27-32 กิโลกรัม โครงสร้างแข็งแกร่ง สัดส่วนได้รูปทางสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดูกะทัดรัด กล้ามเนื้อแข็งแรง ศีรษะยาวและลำพัวเพรียมได้รูป เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว มีความสง่างาม จึงได้รับให้เป็นสุดยอดการ์ดสุนัขในปัจจุนเพื่อใช้ในทางทหาร ตำรวจ กู้ภัย และการบำบัด หากไม่มีเจ้าของหรือควบคุมไม่ได้ พลังงานที่เหลือเฝือ จะทำให้มันหงุดหงิดและก้าวร้าวโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนให้รู้ได้เลย สายพันธุ์นี้มีราคาอยู่ที่ตัวละประมาณ 15,000 บาท
6. ทิเบตัน มาสิฟฟ์ (Tibetan Mastiff)
สุนัขสายพันธุ์โบราณจากถิ่นทิเบต จนถึงเอเชียกลางและอินเดีย ขึ้นชื่อว่าราคาแพงและดุร้ายที่สุด หวงถิ่นฐาน มีความกล้าหาญ แข็งแกร่ง มีความเชื่อว่าสายพันธุ์นี้สามารถสู้กับหมี หรือเสือได้ ในอดีตจึงนิยมเลี้ยงสำหรับการอารักขา เฝ้าฝูงสัตว์ เฝ้ายาม ด้วยความที่มีโครงสร้างใหญ่ ความสูงเฉลี่ยประมาณ 60-70 นิ้ว น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 60-70 กิโลกรัม กะโหลกศีรษะใหญ่ กล้ามเนื้อแน่น ขนหนา ทนสภาพอากาศหนาว นอกจากนี้มีภาษาทิเบตว่า โทซี แปลว่า สุนัขที่ต้องผูก บ่งบอกถึงความดุดันได้เป็นอย่างดี ใครคิดจะเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ราคาอยู่ที่ ประมาณตัวละ 41,000-48,000 บาท
ข้อควรรู้ก่อนจะเลี้ยง
1. วัตถุประสงค์การเลี้ยงต้องชัดเจน ว่าเลี้ยงเพื่อใช้ทำอะไร
2. ควรเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของตัวเองว่าควรเป็นแบบไหน
3. สถานที่เลี้ยงต้องมีความเหมาะสม
4. ศึกษาจิตวิทยาของสุนัขสายพันธุ์โหดดังกล่าวข้างต้นที่จะนำมาเลี้ยงเป็นอย่างดี
5. ต้องสุขภาพพื้นฐานและการสุขาภิบาลสัตว์
6. เลี้ยงด้วยความรัก เอาใจใส่ และศึกษาวิธีฝึกสอนและควบคุมสุนัขด้วย
การจะเลี้ยงดูสุนัขธรรมดาหรือสุนัขสายพันธุ์โหดสักตัว เป็นความรับผิดชอบที่สำคัญ เพราะบางสายพันธุ์มีความดุดัน ก้าวร้าว โมโหง่าย และมีพลังมหาศาล จึงต้องฝึกฝนเรียนรู้ การเข้าสังคมของสุนัขเหล่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้คนในครอบครัวหรือบุคคลอื่นได้รับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อตัดสินใจเลือกที่จะเลี้ยงสายพันธุ์สุนัขต่าง ๆ เหล่านี้แล้วต้องมีความพร้อมทั้งกาย ใจ ความรัก การอบรมสั่งสอนสุนัขเหล่านี้ด้วย
ขอบคุณภาพจาก onlylovedogs , forms.chiangraifocus และ pinterest
#สุนัขสายพันธุ์โหด #อยากเลี้ยงต้องใจถึง #เจ้าตูบ